พระรูปหนึ่ง เข้าไปเก็บฟืนในป่า หลังจากเก็บได้พอประมาณ ก็แบกฟืนกลับวัด
พอเดินใกล้จะถึงวัด ก็เจอเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังไล่จับผีเสื้ออยู่ และเขาก็จับผีเสื้อได้ตัวหนึ่ง
“หลวงพี่ เรามาพนันกันไหม” เด็กหนุ่มถาม
“พนันยังไงล่ะโยม” พระหนุ่มถาม
“หลวงพี่ลองทายดูสิครับว่า ผีเสื้อที่อยู่ในมือผมนี่ตา ยแล้ว หรือยังมีชีวิตอยู่
ถ้าหลวงพี่ทายผิด ฟืนมัดนี้ก็เป็นของผม” เด็กหนุ่มตอบ
เมื่อหลวงพี่ได้ฟังกติกาก็พยักหน้าว่าเข้าใจ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า
“อาตมาว่ามันตา ยแล้ว”
เด็กหนุ่มแบมือที่กุมผีเสื้อไว้ แล้วหัวเราะชอบใจ เมื่อผีเสื้อตัวน้อยบินออกจากมือของเด็กหนุ่ม “หลวงพี่แพ้ผมแล้ว ฮ่า ๆ”
“ดีแล้ว ๆ งั้นฟืนมัดนี้ก็เป็นของโยมล่ะสินะ” กล่าวเสร็จก็ถอนหายใจแล้วเดินยิ้มจากไป
เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมหลวงพี่ต้องทำท่าทีเหมือนดีใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจไต่ถาม
ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายยิ้มบ้าง จากนั้นก็หอบเอาฟืนขึ้นบ่าแบกกลับบ้านด้วยความดีใจ
เมื่อกลับถึงบ้าน พ่อของเขาถามว่าไปเอาฟืนมาจากไหนซะมัดโต
เด็กหนุ่มเล่าเรื่องราวที่พนันกับหลวงพี่ให้พ่อฟังอย่างละเอียด เมื่อพ่อของเด็กหนุ่มฟังจบ ก็ใช้มือตีไปที่ลูกชายหนึ่งที
“แกนะแก โง่ซะไม่ไว้หน้าพ่อแม่เลยนะ” จากนั้นก็สั่งให้ลูกชายแบกฟืนเดินตามไปที่วัด
เมื่อเข้าไปหาหลวงพี่ พ่อของเด็กหนุ่มได้แต่นั่งไหว้ปลก ๆ
“หลวงพี่ครับ ผมต้องขอโทษแทนลูกชายของกระผมด้วยนะครับ เจ้านี่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงจริง ๆ”
หลวงพี่ได้แต่พยักหน้าและยิ้มให้ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไร
เมื่อเดินออกจากวัด เด็กหนุ่มก็ถามพ่ออย่างสงสัยว่า เขาไปทำอะไรผิดต่อหลวงพี่เหรอ
“เพราะหลวงพี่บอกว่าผีเสื้อตา ย แกถึงปล่อยผีเสื้อให้รอด แกชนะ ได้ฟืนไป
แต่หากหลวงพี่บอกว่าผีเสื้อเป็น แกก็จะบีบผีเสื้อให้ตา ยคามือ แกก็ชนะได้ฟืนไปเหมือนเดิม แต่ผีเสื้อตา ย
แกคิดว่าหลวงพี่รู้ไม่ทันความคิดชั่ว ๆ ของแกเหรอ?
ที่หลวงพี่แพ้น่ะก็แค่ฟืนหนึ่งมัด แต่ชนะแกที่จิตเมตตาดวงใหญ่เบ้อเริ่ม ที่แกไม่มี”