เป็นปัญหาโลกแตกสำหรับมนุษย์วัยทำงานหลาย ๆ คน เพราะทำงานมาหลายปีแล้ว ยังไม่มีเงินเหลือเก็บสักที
ไม่ว่าจะลองใช้วิธีใดก็ตาม สุดท้ายก็ต้องเอาเงินไปหมุนก่อนเสมอ เมื่ออายุกำลังเข้าสู่ช่วงวัยผู้ใหญ่
บางคนก็ใกล้เกษียณเต็มที ก็ยิ่งมีความกังวลมากขึ้นว่า ควรทำอย่างไรจึงจะมีเงินเก็บสักก้อนไปลงทุน
หรือเอาไว้ใช้ในยามหลังเกษียณ โดยในบทความนี้ จะแยกออกเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่มีเงินเหลือเก็บ
และวิธีแก้ไข เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินใหม่ ที่สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่เดือนแรกที่ทดลองทำ
1. ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
เป็นประเด็นแรก ๆ ที่ควรพูดถึง และคนส่วนมากก็มักจะนึกไม่ถึงว่า สิ่งของที่ตัวเองจับจ่ายซื้อเข้าบ้านอยู่ทุกวันนี้
เป็นสิ่งของฟุ่มเฟือย อันดับแรกที่ควรทำเมื่อมีความต้องการซื้อของชนิดหนึ่งเลยก็คือ พิจารณาก่อนว่า
สิ่งของเหล่านี้มีความจำเป็นกับชีวิตคุณหรือไม่ ถ้ามี มีความจำเป็นอย่างไร สามารถหาอย่างอื่นทดแทนได้หรือไม่
หรือที่บ้านมีของประเภทนี้อยู่แล้วหรือไม่ คำถามจะช่วยให้คุณมีสติ ในการเลือกซื้อสินค้าและบริการมากยิ่งขึ้น
ของฟุ่มเฟือยส่วนใหญ่ที่มักจะนิยมซื้อกันก็คือ เครื่องสำอาง เสื้อผ้า วิดีโอเกม อุปกรณ์ประดับยนต์
อาหารเสริมและยาลดน้ำหนัก รวมถึงการทานอาหารนอกบ้านเป็นประจำ เป็นต้น
วิธีแก้ไข
ให้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายออกมาในแต่ละเดือน ว่าเงินที่หายไป หมดไปกับค่าอะไรบ้าง
แล้วทำบัญชีแยกออกมา จะเห็นเงินจำนวนนี้ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ควรเพิ่มเทคนิคในเรื่องของการรอคอย
เมื่อเห็นของที่ต้องการจะซื้อ ควรทิ้งระยะเวลาไว้อย่างน้อย 2-3 วันเพื่อพิจารณาว่า ยังอยากได้ของสิ่งนั้นอยู่หรือไม่
2. มีหนี้สิน
ปัญหาใหญ่ไม่แพ้กันของการไม่มีเงินเก็บ ก็คือเรื่องของการมีหนี้สิน ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้ผ่อนบ้าน
หนี้ผ่อนรถ หนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หนี้สินเชื่อ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ก็นับเป็นค่าใช้จ่าย ที่คุณต้องชำระเป็นประจำทุกเดือน
สำหรับบางคน แค่ใช้หนี้สิ่งเหล่านี้ รวมกับจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ก็เหลือเงินไม่ถึง 50% ของรายได้ทั้งหมดแล้ว
ยิ่งถ้าหากใช้ฟุ่มเฟือยก็ยิ่งแล้วใหญ่ นอกจากจะไม่มีเงินเก็บ ยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นหนี้เยอะกว่าเดิมด้วย
วิธีแก้ไข
ให้ดูว่าหนี้ก้อนไหนมีจำนวนน้อยที่สุด หรือหนี้ก้อนไหนมีจำนวนดอกเบี้ยมากที่สุด
เพื่อที่จะได้ปิดหนี้ก้อนนั้นไปก่อน โดยอาจจะเลือกการยืมเงินจากที่อื่น ที่มีดอกเบี้ยถูกกว่า
และมีระยะเวลาคืนมากกว่า มาหมุนเพื่อใช้หนี้ก้อนนั้น ๆ ก็จะช่วยให้มูลค่าหนี้ต้องชำระในแต่ละเดือนลดลงได้บ้าง
ทยอยทำไปเรื่อย ๆ จนปิดหนี้ได้ทุกก้อน และไม่ควรก่อหนี้ใหม่อีกต่อไป
3. รายได้น้อยเกินไป
ข้อนี้ออกจะน่าเห็นใจระดับหนึ่ง บางคนทำงานเพียงคนเดียว แต่ต้องเลี้ยงครอบครัวอีก 1-2 ชีวิต
ยิ่งถ้าหากมีลูกที่อยู่ในวัยต้องเข้าโรงเรียน ก็ยิ่งต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นแบบเท่าตัว
แต่จะให้ลาออกไปหางานใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จำทนต้องทำงานเงินเดือนน้อยต่อไป
แล้วไปเน้นในเรื่องของการประหยัดแบบสุด ๆ แทน อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางออกเสมอไป
เพราะการที่คุณมีรายได้น้อยเกิน ก็ยังสามารถเพิ่มรายได้ให้กับตัวเองได้ง่าย ๆ ด้วยการทำอาชีพเสริมนั่นเอง
วิธีแก้ไข
หากมีรายได้น้อย ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ก็ควรหาอาชีพเสริมที่สามารถทำได้หลังเลิกงาน
หรือให้คนในครอบครัวเป็นคนช่วย เช่น การขายของกินตามตลาดนัด หรือการขายของออนไลน์แบบไม่ต้องสต็อกของ
หรือจะเลือกทำงานแบบฟรีแลนซ์ ตามความถนัดของตัวเองก็ได้ เช่น รับเขียนโปรแกรม รับทำงานออกแบบ
รับติดตั้งจานดาวเทียม เป็นต้น พยายามอย่าให้กระทบงานประจำ และอย่าให้หนักเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้
เพราะถ้าหากเกิดการเจ็บป่วยขึ้น นั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องมากขึ้นไปอีก
4. ได้มาเท่าไรเก็บหมด สุดท้ายก็ต้องเอาออกมาใช้
เข้าใจว่าบางคนก็อยากมีเงินเก็บออม หรืออยากมีเงินท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว ๆ ได้เงินมาเท่าไรก็เก็บหมด
เก็บจนกระทบกับค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในแต่ละเดือน เมื่อขาดสภาพคล่อง ก็ต้องไปหยิบยืมเงินที่เก็บออมมา
และสุดท้ายก็เอามาใช้จนหมด เพราะไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ ถือว่าไหน ๆ ก็ใช้ไปแล้ว ค่อยหาเอาใหม่แล้วกัน
วิธีแก้ไข
ควรเก็บออมเงินแต่พอดี ประมาณ 10-20% ของรายได้หลักในแต่ละเดือนก็เพียงพอแล้ว
ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนใช้เงินเก่ง และยับยั้งชั่งใจไม่ค่อยได้ ก็ให้ฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์แบบธรรมดา
เพื่อไม่ให้เกิดการเสียโอกาสในการได้ดอกเบี้ย เมื่อต้องเอาเงินมาหมุนก่อน