เด็ก ๆ สมัยนี้โตเร็ว และมีความเข้าใจอะไรมากขึ้นเร็ว ดังนั้น แนวทางการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ จำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยน
ให้เข้ากับปัจจุบันและเข้าใจลูกด้วย เพราะเชื่อว่าสิ่งที่พ่อแม่สอนลูกนั้น หวังอย่างเดียวคือการให้ลูกเติบโตมีความสุขและเป็นคนดีในสังคม
แต่พฤติกรรมบางอย่างที่พ่อแม่เผลอทำร้ายจิตใจลูกโดยไม่รู้ตัว ก็อาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึก และสร้างอารมณ์ด้านลบให้กับลูกได้
5 เรื่องหลัก ๆ ที่พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจลูก
1. เผลอเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น
เพราะการเปรียบเทียบ จะเป็นการสร้างความรู้สึกด้อยให้เกิดขึ้นในชีวิตของลูก ๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กอย่างมาก
ถึงแม้การพูดในลักษณะนี้ จะเป็นการที่อยากจะให้ลูกได้พยายาม ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น แต่ก็อาจทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า
และมองว่าไม่เก่งเท่าคนอื่น ๆ อาจจะเลิกพยายามทำหรือยอมแพ้ หรืออีกมุมหนึ่งคือ เด็กอาจเกิดความคิดหาทางกลั่นแกล้ง
ทำลายคู่แข่งคนอื่น ๆ ได้ ซึ่งพ่อแม่ควรเข้าใจว่า พื้นฐานของเด็กแต่ละคน ตลอดจนความสามารถนั้นแตกต่างกัน
ควรจะมองและชื่นชมลูก ในสิ่งที่เขาสามารถทำได้และถนัด มากกว่าการใช้คำพูดเพื่อทำลายความรู้สึกของลูก ๆ
ด้วยการเปรียบเทียบ หรือเพื่อต้องการให้ลูกเก่งกว่าเด็กคนอื่น ๆ ในทุกด้าน
2. เผลอต่อว่าลูกต่อหน้าคนอื่น
การดุด่าว่ากล่าวลูกต่อหน้าคนอื่น ถือเป็นการทำร้ายจิตใจลูกอย่างมาก พ่อแม่ต้องคิดเสมอว่า เด็ก ๆ ก็มีความรู้สึกอายและเสียหน้าเป็น
ดังนั้น หากลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ควรค่อย ๆ พูดกับลูกในระดับที่เสมอกัน ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเป็นมิตร
ซึ่งไม่ควรเผลอตะคอก หรือโวยวายลูกต่อหน้าคนอื่น หรือที่สาธารณะ
3. เผลอบอกว่า “ไม่รัก” แล้ว
จริง ๆ แล้ว ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูก แต่ก็ไม่ควรนำความรักมาใช้เป็นเงื่อนไขต่อรองกับลูก ซึ่งการพูดว่าไม่รักบ่อย ๆ
เป็นการบั่นทอนความมั่นคงทางอารมณ์ และจิตใจของลูกอย่างมาก พ่อแม่บางคนอาจบอกว่าไม่รัก เพื่อให้ลูกเชื่อฟัง
แต่หารู้ไม่ว่า วิธีนี้อาจทำให้เด็กคิดจริงจังก็ได้ว่า พ่อแม่ไม่รักจริง ๆ และรู้สึกเจ็บปวดมากที่สุด อาจจะไม่ทำตามในสิ่งที่พ่อแม่บอกแล้ว
เพราะไม่มีประโยชน์อะไร ที่เขาจะทำดีหรือเชื่อฟัง เมื่อพ่อแม่ไม่รัก ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กมาก
ดังนั้น หากคุณจะตำหนิลูก ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ควรว่ากล่าวด้วยเหตุผลมากกว่าการบอกว่า “ถ้าทำตัวแบบนี้พ่อแม่ไม่รักนะ” ดีกว่า
4. เผลอเพิกเฉย ไม่สนใจ
การแสดงความไม่สนใจต่อลูกนั้น ควรใช้ในกรณีที่พ่อแม่ตั้งใจแสดงออกให้ลูกเห็นว่า การเรียกร้อง
แสดงความเอาแต่ใจ เพื่อที่จะให้พ่อแม่ตามใจ เช่น การร้องไห้ชักดิ้นชักงอ หรือการเดินหนีออกจากพ่อแม่นั้นไม่ได้ผล
วิธีนี้ถือเป็นการช่วยฝึกวินัยของลูก ให้เรียนรู้ว่า พฤติกรรมแบบนี้ ไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ได้ และลูกก็จะไม่ทำอีก
แต่กลับกัน หากพ่อแม่เอาแต่สนใจอย่างอื่น โดยที่ไม่สนใจลูก เพิกเฉยต่อการที่ลูกจะเข้ามาเล่นด้วย
หรืออวดสิ่งของที่ลูกได้ทำเอง จะถือเป็นการทำร้ายจิตใจลูกอย่างมาก
5. เผลอข่มขู่หรือทำให้กลัว
เด็ก ๆ มักจะกลัวเสียงดุจากพ่อแม่อยู่แล้ว เนื่องจากลูกยังไม่สามารถเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ได้ดีเกือบทั้งหมด
การเรียนรู้ครั้งแรกหรือการทำผิดพลาด อาจทำให้ลูกเกิดความไม่กล้าในครั้งต่อไป หากพ่อแม่ใช้วิธีการขู่มาเป็นข้อห้าม
หรือหลอกเพื่อไม่ให้ลูกได้ทำสิ่งต่าง ๆ เช่น “ออกไปนอกบ้าน ระวังตำรวจจับนะ” หรือ “ถ้าซนมาก ๆ เดี๋ยวตุ๊กแกกินตับนะ”
การขู่ในลักษณะแบบนี้ หากทำบ่อย ๆ ลูกจะซึบซับและจะกลายเป็นการกลัวฝังใจ กลัวแม้กระทั่งเรื่องนิด ๆ หน่อย ๆ
ทำให้เด็กกลายเป็นคนขี้กลัว ซึ่งความกลัวเหล่านี้ จะเป็นสาเหตุให้เด็กเก็บไปฝัน
และนอนผวาในตอนกลางคืนได้ ถือเป็นการบั่นทอนสุขภาพของเด็กอย่างมาก
สำหรับเด็กแล้ว เรื่องของจิตใจกับความรู้สึก ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญไม่น้อยกว่าการ เอาใจใส่ดูแลสุขภาพร่างกาย
เพราะสองอย่างนี้จะเติบโตคู่ไปกับลูก ดังนั้น พ่อแม่ไม่ควรเผลอกระทำสิ่งเหล่านี้ลงไปให้ลูกรู้สึกแย่
เพื่อให้ลูกได้เติบโตมาเป็นเด็กที่มีอารมณ์ดี มีจิตใจมั่นคง และร่างกายที่แข็งแรงในอนาคต
ที่มา theasianparent