ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บัตรเครดิต ได้กลายเป็นปัจจัยที่ห้าของคนยุคใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากสามารถช่วยให้ผู้ถือบัตร
มีอิสรภาพทางการเงินมากขึ้น และยังถือเป็นหนึ่งในสินเชื่ออุปโภคบริโภค ที่สำคัญรองจากสินเชื่อบ้าน หรือสินเชื่อรถยนต์เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังมานี้ ที่มีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องของไวรัสโควิ ด-19 กลับมีผลสำรวจว่า อัตราการเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิต
เป็นไปอย่างเชื่องช้า เพราะมีสาเหตุมาจาก ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ถือบัตรลดลง ทำให้การอนุมัติเพื่อเปิดบัตรใหม่น้อยลงตามไปด้วย
เท่ากับว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ การวางแผนการชำระหนี้ ที่แต่ละคนอาจคำนวณไว้ได้ไม่รัดกุมมากพอ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ
ถ้าเราจะปล่อยหนี้บัตรเครดิตทิ้งไว้นาน ๆ เพราะมันสามารถกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่กว่าที่เราคาดคิดไว้ได้
ดังนั้น เหล่ามนุษย์เงินเดือนที่อยากเคลียร์หนี้เก่าให้สิ้นซาก หรือสามารถเพิ่มศักยภาพในการชำระหนี้ได้มากขึ้นกว่าเดิม ต้องลองมาดูเคล็ดไม่ลับต่อไปนี้
1. คำนวณหนี้คงค้างทั้งหมดก่อน
เพราะการรู้จำนวนยอดหนี้ทั้งหมดที่ต้องชำระ จะสามารถช่วยให้เราวางแผนการเงินได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่วิธีการชำระที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้ หนึ่งในวิธีการที่ไม่แนะนำก็คือ การเปิดบัตรเครดิตใบใหม่ เพื่อเบิกถอนเงินสดมาจ่ายหนี้ใบเก่า เนื่องจากจะทำให้เรามีหนี้เช่นเดิม
เพิ่มเติมคือดอกเบี้ยที่มากขึ้น แต่หากหนี้ดังกล่าวมีจำนวนสูงมาก เราอาจลองพิจารณาการขอสินเชื่อส่วนบุคคล
เพื่อมาปิดหนี้ทั้งหมด โดยคำนวณอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อดังกล่าวให้ดีก่อนตัดสินใจ
2. พิจารณาก่อนจ่ายขั้นต่ำ
เพราะหลายคนเลือกการจ่ายหนี้ในอัตราขั้นต่ำ ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องที่ดี ที่ทำให้ประวัติการชำระหนี้ไม่เสีย แต่ก็ไม่ช่วยให้หนี้ลดลงได้อย่างแท้จริง
เนื่องจากอัตราดอกเบี้ย(จำนวนมาก) จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งถูกคิดจากยอดเต็มที่เรารูดไป และจะไม่หมดจนกว่าเราจะชำระหนี้ก้อนนั้น ๆ เสร็จ
เราสามารถลองคำนวณอัตราดอกเบี้ยด้วยตัวเองได้ จากสูตรต่อไปนี้
ยอดที่ใช้จ่ายทั้งหมด x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันจากวันที่ทำรายการถึงวันที่สรุปยอดบัญชี / จำนวนวันใน 1 ปี
ดังนั้น เพื่อไม่ให้ดอกเบี้ยงอกเงย เราอาจลองใช้วิธีการจ่ายให้ไม่เกิน 40% ของรายได้ที่ได้รับแทน ซึ่งจำนวนดังกล่าว
จะเป็นยอดหนี้รวมทั้งหมดที่เราต้องจ่ายในแต่ละเดือน เช่น เรามีรายรับเดือนละ 25,000 บาท
ก็ควรแบ่งไว้ก่อนอย่างน้อย 10% เพื่อเป็นเงินออม จากนั้นก็ใช้หลักจ่ายหนี้ไม่เกิน 40% ของรายได้ ซึ่งในกรณีนี้ก็คือไม่เกิน 10,000 บาทนั่นเอง
ที่มา moneyhub