1. เมื่อใดที่ถูกเอาเปรียบ ลองปล่อยวางดูบ้าง พูดมากจะเสียมิตร คิดเล็กคิดน้อยเสียเวลา
ซื่อสัตย์เข้าไว้ เวลาไปไหนจะได้ไม่มีใครนินทาลับหลัง “เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน” แค่นี้ก็เพียงพอให้เราสุขใจได้แล้ว
2. เรื่องหลาย ๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามา มันก็แค่ทำให้เราทุกข์ชั่วครู่ชั่วยาม เดี๋ยวเดียวก็ผ่านไป
มองมันให้เป็นครู ที่เข้ามาสอนบทเรียนชีวิต ทำให้เราได้เรียนรู้วิธีรับมือ
3. เมื่อใดที่กลัดกลุ้มใจ ลองสูดลมหายใจลึก ๆ ทบทวนดูว่า ชีวิตนี้มันมีแต่ลดกับลด
ทุกวินาทีที่ผ่านไป กำลังบอกเราว่า.. “เวลาของเราน้อยลงไปอีก 1 วินาทีแล้ว”
4. การได้พบหน้ากันในวันนี้ หมายความว่า หมดโอกาสได้เจอกันไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว
แล้วเราจะมัวมาทะเลาะกัน ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องไปทำไม
5. ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด เพราะมีแต่ถูกใจ หรือไม่ถูกใจ หากทำถูกใจ ต่อให้เป็นสิ่งที่ผิดก็ไม่รู้สึกโกรธ
แต่หากทำไม่ถูกใจ ต่อให้ทำถูกแค่ไหนก็โดนมองว่าผิด เพราะฉะนั้น.. อย่าไปเก็บเอามาคิด
6. เมื่อใดที่โมโห ลองนั่งนิ่ง ๆ ทบทวนดูว่า… เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตนี้ มีอยู่อีกสักกี่วัน ใยเสียเวลาไปเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง
7. เมื่อใดที่ใครบางคนทำให้เราเจ็บ ลองปล่อยให้มันเป็นไป ทบทวนดูสิว่า ชีวิตนี้ไม่มีใครอยู่ยงคงกระพัน
คนที่มีชื่อเสียง คนที่รวยล้นฟ้า หรือคนที่รักกัน สุดท้ายก็แค่ คนที่เคยมาเยือนโลกใบนี้
8. เมื่อใดที่เรารู้สึกโดนแย่งอะไรไป ให้ลองไตร่ตรองดู ไม่มีใครครอบครองสิ่งใดในโลกนี้ได้ตลอดไป
และไม่มีใครเป็นเจ้าของสิ่งใดแท้จริง แม้แต่ร่างกายเรา ก็ยังต้องคืนสู่ธรรมชาติ
9. อาจไม่รวยล้นฟ้าเหมือนเศรษฐีมีเงิน แต่เราสามารถมีความสุขอันเรียบง่าย ที่เศรษฐีโหยหา
แค่สุขภาพแข็งแรง มากกว่าคนที่นอนอยู่ตามโรงพยาบาล ก็นับว่าโชคดีกว่าคนอื่น ๆ อีกมากเพียงใด
10. ความสุขง่าย ๆ ที่เรามองข้าม วันนี้ยังกินข้าวได้ ยังนอนหลับสบาย มีบ้านให้หลบฝนหลบแดด มีเสื้อผ้าให้สวมใส่
ไปเที่ยวได้ มีคนรักอยู่ข้างกาย ยังอ่านเฟสเล่นไลน์ได้ แค่นี้คุณก็ถือว่าโชคดีกว่าใคร ๆ อีกหลายคนแล้ว