1. คิดว่าเงินออม คือเงินที่เหลือจากการใช้จ่าย
ความคิดนี้ไม่ได้ผิดอะไร แต่ไม่ใช่แนวคิดตั้งต้นที่ดีนัก สำหรับคนที่อยากเก็บเงินให้อยู่ ไม่ควรมองเงินออมเป็นเงินเหลือ
แต่ควรมองเป็นเงินที่ถูก “จัดหมวดหมู่” เอาไว้ว่า นี่คือเงินออมโดยเฉพาะ เช่น เราจะออมเงิน 2,000 บาท
โดยที่เรามีเงินเดือน 20,000 บาท แปลว่าเราต้องใช้จ่ายให้ไม่เกิน 18,000 บาท เมื่อคิดในมุมนี้ สมการที่เราใช้ตั้งต้น
ไม่ควรเป็น รายได้ – รายจ่าย = เงินเหลือเพื่อการออม
แต่ควรเป็น รายได้ – เงินออม = รายจ่าย
หรือก็คือ เราควรหักเงินออมเก็บเอาไว้ก่อน แล้วค่อยใช้จ่ายตามงบประมาณที่มีนั่นเอง
2. จัดลำดับความสำคัญของรายจ่ายไม่เป็น
บ่อยครั้งที่แผนการเงินล่มไม่เป็นท่า เพราะเรามักจะจ่ายให้กับ “สิ่งที่ไม่สำคัญ..แต่เกิดขึ้นก่อน”
เช่น จ่ายค่าอาหารราคาแพงที่อยากกินก่อน จนลืมคิดไปว่า มีรายจ่ายสำคัญที่จะตามมาในช่วงปลายเดือน
อย่างค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าผ่อนสินค้า เป็นต้น ทำให้ใช้เงินเยอะกว่างบประมาณที่มี
ทางที่ดีควรวางแผนรายจ่ายให้ละเอียด ตั้งงบประมาณให้กับรายจ่ายประจำที่สำคัญก่อน
3. ไม่เคยจดบันทึกรายรับรายจ่าย
จากผลสำรวจของบริษัท YouGov ในปี 2558 พบว่าคนไทยมี “ค่าใช้จ่ายปริศนา” สูงถึง 72% ของรายจ่ายทั้งหมด
สรุปได้ว่า คนไทยหนึ่งคน มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อสัปดาห์อยู่ที่ 1,588 บาท นั่นหมายความว่า ค่าใช้จ่ายปริศนา
ที่ระบุไม่ได้ว่าจ่ายไปกับอะไรบ้าง จะอยู่ที่ประมาณ 1,143 บาท นั่นคือ มากกว่าหนึ่งพันบาทต่อสัปดาห์เลยทีเดียว
ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เชื่อว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าว น่าจะมาจากค่าอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค ค่าขนมขบเคี้ยว
หรือการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย ค่าใช้จ่ายรั่วไหลกับอะไรไม่รู้ ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยการจดบันทึก รายรับรายจ่ายให้เป็นนิสัย
ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันรายรับรายจ่ายมากมาย ทั้ง iOS และ Android ให้เราได้เลือกใช้
4. ใช้จ่ายกับค่าอาหารเกินความจำเป็น
ค่าอาหารเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ในชีวิตประจำวัน วิธีที่จะลดรายจ่ายก็คือ การประหยัดค่าใช้จ่ายก้อนนี้ให้มากขึ้น
เช่น ทำอาหารทานเอง โดยเฉพาะถ้าเป็นครอบครัวหลายคน ราคาต่อหัวก็จะประหยัดมากขึ้น และสำหรับวัยทำงาน
ที่ต้องซื้ออาหารในที่ทำงานทานทุกวัน ลองนำอาหารไปทานเอง จะช่วยลดรายจ่ายค่าอาหารได้ หรือจะลองสั่งกับข้าว
มาทานร่วมกันกับเพื่อน ๆ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แถมยังได้เปลี่ยนบรรยากาศในการทานอาหารอีกด้วย
5. ซื้อเสื้อผ้ามากเกินไป
เปลี่ยนสิ่งที่ไม่ใช้แล้ว เป็นเงินเข้ากระเป๋า รวมไปถึงเสื้อผ้าที่กำลังล้นตู้อยู่ หลายคนมีเสื้อผ้าเยอะมาก
แต่ใส่จริง ๆ ไม่ถึงครึ่งของที่มี ผลวิจัยระบุไว้ว่า คนไทยซื้อเสื้อผ้ามากขึ้นร้อยละ 3 ต่อปี
ไม่แปลกใจเลยที่จะล้นตู้ แนะนำว่าให้นำเสื้อผ้าที่ไม่ใส่แล้ว ไปขายต่อ หรือลองเรียนรู้วิธี DIY
เปลี่ยนชุดเก่าให้เป็นชุดเก๋ รวมถึงหากนำเสื้อผ้าที่มี มาจับคู่ดี ๆ เปลี่ยนไปมา ก็ดูเหมือนเรามีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ให้ใส่อยู่ตลอดเช่นกัน
6. เน้นซื้อแต่เสื้อผ้าราคาถูก แต่คุณภาพต่ำ
อีกจุดสำคัญที่ช่วยอุดรอยรั่ว จากรายจ่ายในการซื้อเสื้อผ้า ก็คือการเลือกเสื้อผ้าที่ใช้วัสดุคุณภาพดี
เพราะเมื่อเราซื้อเสื้อผ้าราคาถูกที่เนื้อผ้าไม่ดี หรือการตัดเย็บไม่ดี จะทำให้เสื้อผ้าเหล่านั้นเสื่อมสภาพเร็ว
หลังจากซักไปเพียงไม่กี่ครั้ง และทำให้เราต้องเสียเงินเพื่อซื้อเสื้อผ้าใหม่อีกรอบ
7. ทำตัวเป็นนักสะสม
ของสะสมเป็นของที่มีคุณค่าทางจิตใจ แต่อย่างไรก็ตาม ใครที่เป็นนักสะสมก็มักจะเต็มไปด้วยรายจ่ายที่รั่วไหล
ถ้าเราไม่หยุดตัวเองเลย เมื่อมองย้อนกลับมาอีกที อาจพบว่ามีของสะสมอยู่เต็มบ้านไปหมด
แต่เงินในบัญชีกลับว่างเปล่า มีผลสำรวจพบว่า คนไทยชอบบินไปซื้อของแบรนด์เนมจากต่างประเทศ
เป็นตัวเลขมูลค่ามหาศาล ลองเช็กตัวเองดูว่า เราเป็นอีกหนึ่งคนหรือเปล่า ที่ชอบเก็บแบรนด์เนมแพง ๆ ไว้ในตู้โชว์
แนะนำให้สะสมบ้าง และปล่อยขายบ้างเมื่อราคาสูงขึ้น เพื่อเป็นการรักษาสมดุลทางการเงิน
8. ไม่เคยคิดเรื่องดอกเบี้ย
ก่อนจะกู้ยืมเงินมา ต้องคิดเรื่องดอกเบี้ยให้ดี ๆ ยิ่งยืมนาน ดอกเบี้ยที่จ่ายยิ่งเยอะขึ้นเป็นเงาตามตัว
เป็นรอยรั่วใหญ่ที่แทบทุกคนมองข้าม เพราะเห็นว่าผ่อนถูกดี ถ้าจ่ายไหวก็จบ ที่เหลือช่างมัน
พอมาคำนวณแล้ว ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ เลยนะ ดังนั้น อย่าสร้างหนี้ดีกว่า
แต่ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ควรเลือกแหล่งเงินที่ดอกเบี้ยต่ำที่สุด และผ่อนให้สั้นที่สุดเท่าที่จะผ่อนได้
9. ฝากเงินแต่แบบออมทรัพย์
ลองฝากประจำ หรือลงทุนแบบหักบัญชีอัตโนมัติ เพื่อสร้างวินัยการออม จะได้ไม่ต้องกังวลว่า
เดือนนี้ได้ออมเงินแล้วหรือยัง ซึ่งวิธีนี้ง่ายต่อการไปถึงเป้าหมายการออมที่วางไว้ด้วย
10. ไม่สนใจหรือมองข้ามสิทธิพิเศษ
ร้านค้าหลายร้าน มักมีสิทธิพิเศษให้เมื่อเข้าไปใช้บริการ อย่าละเลยสิทธิพวกนี้
เพราะบางทีเราอาจได้รับส่วนลดมากมาย ที่ช่วยให้ประหยัดเงินไปได้เยอะเลย
11. ซื้อแต่ของใช้ราคาถูก
เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ยกตัวอย่าง เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดี ราคาสูง ก็จะมีอายุการใช้งานที่นาน
ทำให้ไม่ต้องเสียเงินเพื่อเปลี่ยนเครื่องใหม่บ่อย ๆ เป็นสิ่งของชิ้นใหญ่ ที่ควรลงทุนเพื่อความสะดวกสบาย
และควรตระหนักถึงการประหยัดพลังงานด้วย เพราะการประหยัดค่าไฟ ก็ช่วยคืนเงินในกระเป๋าได้เช่นกัน
12. เป็นสมาชิกทั้งที่ไม่ค่อยได้ใช้
บ่อยครั้งที่เราจ่ายเงินค่าสมาชิกรายเดือน เพราะตั้งใจว่าจะมาใช้บริการบ่อย ๆ แต่ความเป็นจริง
กลับไม่ค่อยได้มาใช้บริการ เช่น ฟิตเนสที่สมัครไว้เพราะอยากหุ่นดี หรือบริการสตรีมมิ่งความบันเทิงต่าง ๆ
ที่สมัครไว้ผ่อนคลาย แต่กลับไม่ค่อยได้ดู สิ่งเหล่านี้ ถ้าเราไม่ได้ใช้งานจริง ๆ ควรยกเลิกไปก่อนก็ได้
แล้วค่อยต่ออายุการเป็นสมาชิกภายหลัง ในวันที่เราต้องการกลับมาใช้บริการอีกครั้ง
13. เอาเงินในอนาคตมาใช้โดยไม่จำเป็น
หนี้บัตรเครดิต เกิดขึ้นเพราะความชะล่าใจ ในการจับจ่ายใช้สอย โดยคิดว่ายังมีเวลาหาเงินมาจ่ายทีหลัง
หรือมีเงินเพียงพอในธนาคาร แต่เพราะความสะดวกของบัตรเครดิต อาจทำให้ใช้เกินงบประมาณที่ตั้งไว้
จนทำให้เก็บเงินได้ไม่ถึงเป้าหมาย หรือการเงินติดลบเอาได้ง่าย ๆ เช่นกัน
14. ชอบพาตัวเองไปอยู่ในที่เสี่ยง และไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่มี
การไปเที่ยวตามห้างสรรพสินค้า หรือเที่ยวข้างนอก จะพบกับสิ่งล่อตาล่อใจมากมาย จนอาจทำให้เราเสียเงินมากกว่าที่คิดไว้
ลองสร้างความสุข ความบันเทิงง่าย ๆ ที่บ้าน อย่างฟังเพลง ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หรือทำงานอดิเรกต่าง ๆ จะช่วยให้เราประหยัดมากขึ้น
15. ไม่รู้จักใช้ระบบขนส่งสาธารณะ
การโดยสารด้วยรถสาธารณะ ช่วยให้เราประหยัดเงินได้มาก และยังไม่ต้องเหนื่อยขับรถเองด้วย
หากซื้อบัตรรายเดือนของรถไฟฟ้า หรือรถเมล์ ก็จะพบว่าราคาค่าโดยสารยิ่งถูกลงไปอีก
16. คิดแค่ประหยัดเงิน แต่ไม่โฟกัสเรื่องการหาเงินเพิ่ม
การประหยัดเป็นสิ่งทีดี แต่มันจะดียิ่งกว่า หากเรารู้จักหาเงินจากช่องทางอื่นเพิ่มเติม
อย่าคิดแค่ทำงานไปวัน ๆ รอวันหยุด รอวันเงินเดือนออก นับวันไปเที่ยว เพราะชีวิตเราจะวนอยู่ที่เดิม
ไม่ก้าวหน้าไปไหน ไม่มีการพัฒนา เราจึงต้องเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หาช่องทางใหม่ ๆ อยู่เสมอ
17. ไม่ใช้กฎ 24 ชั่วโมง และการเปรียบเทียบ
เวลาที่เราอยากซื้ออะไรสักอย่าง ให้กลับบ้านไปก่อน แล้วไตร่ตรองอีกสัก 24 ชั่วโมง จากนั้นค่อยกลับมาซื้ออีกครั้ง
อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเสียดายเงินทีหลัง เพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่ถ้าจะให้ดี เราต้องคำนวณราคาสิ่งของที่จะซื้อ
เทียบกับรายได้ของเราด้วย เช่น เราอยากได้รองเท้าราคา 5,000 บาท แต่เราหาเงินได้วันละ 500 บาท
นั่นเท่ากับว่า เราต้องทำงาน 10 วันเต็ม ๆ เพื่อรองเท้าคู่นี้คู่เดียว ลองเปรียบเทียบความคุ้มค่าดู
ถ้าเรารับได้ เราคิดว่ามันคุ้ม ก็ค่อยซื้อ แต่ถ้าเรารู้สึกแพงไป นั่นแปลว่า มันยังไม่คุ้มที่จะซื้อตอนนี้
ที่มา อ่านสนุก